รีวิว หนัง Drive

 


มีบางคนบอกการแสดงของ
Ryan Gosling ในบท 'คนขับรถ' ช่างเย็นชา แข็งทื่อ ยังกับท่อนไม้
หรือแม้กระทั่งพูดว่าด้วยบุคลิกที่พูดน้อย และนิ่ง บางครั้งดูเหมือนพวกไม่สมประกอบ
แต่โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่ามันคือการแสดงอันทรงพลังของ Gosling ที่ถ่ายทอดออกมาได้น่าอึดอัด
เสมือนคนเก็บกด สิ้นหวัง เปล่าเปลี่ยว แบกปัญหาไว้ทั้งหมด ไม่มีแรงจูงใจ หรือจุดหมายในชีวิต
และด้วยบุคลิกแบบนี้แหละที่ทำให้ดู 'เชื่อ' และรู้สึก 'จริง' ว่าเขาสามารถทำอะไร อย่างที่หนังนำเสนอได้
ฉากเปิดเรื่อที่พระเอกได้แสดงทักษะการขับรถ และการแก้ไขสถานการณ์ืเฉพาะหน้า
ที่ทำให้ผู้ชมได้รับรู้ว่า เขานั้นเก่งกาจและ 'แตกต่าง' กับคนขับรถอื่นๆ ยังไง
หนังมีชั้นเชิงเล็กๆ ช่วงต้นเรื่อง ที่พระเอกเดินสวนกับใครซักคน โดยที่ไม่ได้เน้นโฟกัสไปที่คนที่เดินผ่านไป ซึงหากไม่สังเกต ก็เหมือนเป็นแค่ตัวละครประกอบฉากที่รับค่าจ้าง 500 บาท เพื่อมาเดินผ่านฉาก
สุดท้ายหากนึกย้อนกลับไปแว๊บหนึ่ง จะทราบได้เลยว่าคนที่เดินผ่านไปคือไอรีน (Carey Mulligan)นั่นเอง ก่อนที่ทั้งสองจะไปเจอกันครั้งแรก 2 ต่อ 2 ในลิฟท์ ซึ่งทั้งคู่อาจจะเป็นเดินสวนกันและไม่ได้สนใจเป็นสิบครั้ง เมื่อเธอก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาทำให้โลกอันเปลี่ยวเหงา หนาวเหน็บ ดูมีความหวัง ความอบอุ่นเกิดขึ้นเล็กๆ เธอเปรียบเสมือนได้กับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่เขาอยากจะเดินไปให้ถึงสุดทาง จนกระทั่งมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น...ทำให้เขาในฐานะเพียงแค่เพื่อนบ้าน ต้องตัดสินใจทำบางอย่างซึ่งนั่นได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา และเธอไปตลอดกาล



หากคุณคาดหวังว่ามันคือหนังแข่งรถ ที่อุดมไปด้วยฉากเสี่ยงตายพาดโพน ไล่ล่าตามท้องถนน
หรือคิดว่ามันส์สะใจแบบ Non-Stop ราวกับมันคือ Fast and Furious ภาค 6 ..ท่านคงต้องผิดหวัง
วิธีการนำเสนอ เป็นในลักษณะให้ผู้ชมได้รับรู้ความรู้สึกที่ตัวพระเอกกำลังเผชิญสถานการณ์นั้นอยู่
เช่น หนังตัดแต่ฉากที่พระเอกรออยู่ในรถ โดยที่ไม่ได้ตัดสลับไปฉากที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก
ให้รู้สึกกดดัน เงียบ ปราศจากเสียงดนตรีประกอบ เป็นการ บีบ และเล่นความรู้สึกกับผู้ชมอย่างได้ผล
ผกก.สามารถดึงความเปลี่ยวเหงา ว้าเหว่ เก็บกด มาสู่ตัวผู้ชมได้แบบเน้นๆ
ต้องบอกว่า ตัวหนังถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ และอารมณ์ที่น่าหลงไหล แบบถึงที่สุด
ไม่ว่าจะการแช่ฉากเนิบๆ เงียบๆ ของพระเอก ท่ามกลางความสลับซับซ้อนของเมืองอย่าง LA
หรือเมื่อฉากตื่นเต้นมาถึง หนังก็หักดิบความรู้สึกของผู้ชม ด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดถึงขีดสุด
เพลงที่ใช้ประกอบ คืออีกส่วนหนึ่งที่โดดเด่น และเจ๋งจริง เข้ากับหนังเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเพลง A Real Hero ล่องลอยมาก...ที่พึ่งจะมารู้ตอนหลัง ว่ามันเป็นเพลงของ College
เกิดไม่ทันครับ เรียกว่าสมฉายา 'Gothic Dance Party' ของวงนี้เลย


Nicolas Winding Refn ผกก.ชาว Danish สามารถคว้ารางวัล Best Director Award
จากเทศกาลภาพยนตร์ Cannes Film Festival ในปี 2011 ด้วยผลงานหนังเรื่องนี้เอง
คำตอบทั้งหมด และเหตุผลนั้นอยู่ในตัวหนัง ที่คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
หนังให้ความบันเทิงในระดับปลานกลาง แต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ความระทึก และเหี้.ยม แบบล้นทะลักหลังจากดูจบ ทำให้นึกถึงผลงานระดับชิ้นเอกของโลกภาพยนตร์อย่าง Taxi Driver ขึ้นมาในหัวทันที เพราะจะว่าไป หนังทั้งสองเรื่องก็มีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน..แต่จะคล้ายกันตรงไหนไม่ขออธิบาย แต่อย่างหนึ่งที่หนังทั้งสองเรื่องเหมือนกันก็คือ.....
มันเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม ที่กระแทกอารมณ์ และยังติดค้างอยู่ในใจที่ได้ชม

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ Blusterfilms

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ความคิดเห็น