รีวิว หนัง Allegiant อัลลีเจนท์ ปฎิวัติสองโลก | ออกไปดูนอกกำแพง

 


เราเคยได้พบกับเรื่องราวจากหนังสือที่ถูกหยิบมาสร้างเป็นหนังมาหลายเล่ม วันนี้ก็คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่หนังสือขายดีถูกดัดแปลงกลายเป็นหนังไซไฟผจญภัยในโลกหลังการล่มสลาย หรือที่ใครเรียกหนังประเภทนี้ว่า
dystopia ที่โลกตกลงในช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายซึ่งจะเกิดจากอะไรก็สุดแล้วแต่จินตนาการของผู้แต่ง แต่ Allegiant มันเกิดจากพันธุกรรม หลังจากเราได้พบกับจุดเริ่มของเรื่องราวของผู้คนที่ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม และ บุคคลที่แตกต่างจากถูกเรียกว่า ‘Divergent’ แล้วเราก็ได้พบกับการลุกขึ้นมาปลดแอกจากผู้นำคนเก่า ‘Insurgent’ ที่ทำออกเหมือนเล่นเกมผ่านด่านผสานงาน 3 มิติ ซึ่งก็ทำได้เพียงพอผ่านด้วยงานที่เสริมแอ็คชั่นให้มากขึ้น จนในที่สุด หนังก็ผ่านมาจนถึงภาคจบแบ่งออกเป็นสองในวันนี้ 



หลังโค่นล้มอำนาจของเจนีนได้เป็นผลสำเร็จ ส่งผลให้ เอเวลิน (Naomi Watts) ขึ้นปกครองเหล่าผู้คนที่อยู่ในชิคาโกอันรกร้างนั้นแทน แต่ความสงสัยที่มีไม่หายก็ส่งผลให้ทีมอัลลีเจนท์ที่มี ทริส (Shailene Woodley), โฟร์ (Theo James), เคเล็บ (Ansel Elgort) และปีเตอร์ (Miles Teller) หาหนทางหนีออกไปจากดินแดนที่ถูกกักขัง บุกตะลุยปีนกำแพงสูงขึ้นไป…สิ่งที่อยู่นอกกำแพงคือดินแดนที่รกร้าง เต็มไปด้วยสารพิษ แม้แต่ฝนก็เป็นสีแดง แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้ศูนย์วิจัยอีกแห่งที่ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น ที่นั่น พวกเขาเหมือนดาราเพราะทุกคนที่นั่นรู้จักพวกเขา เฝ้าดูพวกเขาและมองเป็นเหมือนไอดอลทริสได้อยู่ที่นั่นอย่างผู้ที่ “สมบูรณ์” เธอได้รับเกียรติสูงส่งในขึ้นไปที่ชั้นบนสุด ขณะที่คนอื่นๆ กลายเป็นเพียงคนที่ “บกพร่อง” และได้รับหน้าที่ต่างๆ กัน และมีเพียงโฟร์ที่มองเห็นความไม่น่าไว้ใจของสถานที่แห่งนี้และเขากำลังคิดจะกลับชิคาโกเพื่อช่วยชาวเมือง… นี่คือภาคที่สามแล้ว ตามหลัง ‘Divergent’ และ ‘Insurgent’ กันมาติดๆ โดยรวมถือว่าทำในส่วนของโปรดักชั่นและวิชวลมาได้ค่อนข้างดีกว่าทุกภาค แต่เรื่องราวและการดำเนินเรื่องยังเป็นปัญหาอยู่ ดูท่า ‘The Divergent Series’ จะเป็นซีรีส์ที่เน้นหนักเรื่องของการแบ่งแยก ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อเขาออกจากดินแดนที่ถูกกักขังและดินแดนที่มีการแบ่งแยกเป็นกลุ่ม ที่นี่ก็ยังไม่เว้นมีการแบ่งแยก เมื่อพวกเขาทั้งสี่ถูกแบ่งแยกด้วยลักษณะทางพันธุกรรม และคนที่ไม่สมบูรณ์ถูกจำกัดสิทธิในการขึ้นไปข้างบนที่จำกัดไว้เฉพาะผู้ที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น 



หนังพยายามจะอธิบายให้เรารู้ถึงที่มาของโลกที่ล่มสลายและสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำการทดลองเพื่อการอยู่ต่อของมนุษย์บนโลกใบนี้ที่กำลังอยู่ในภาวะเลวร้ายและล่มสลาย ซึ่งก็นับว่าแตกต่างจากชาวบ้านพอดูโลกเข้าสู่ภาวะที่เลวร้ายหลังการเจริญขึ้นของเทคโนโลยีด้านพันธุกรรม สุดท้าย มันกลายเป็นหอกทิ่มแทงกลับมาสู่เผ่าพันธุ์ที่คิดว่าตนประเสริฐ แต่มนุษย์กลับไม่เคยหนีออกจากกรอบไปไหน สุดท้ายก็ใช้พันธุกรรมมาแบ่งแยกกันเองอย่างที่เราได้เห็นกันมา 2 ภาคก่อนหน้านั้นในภาคนี้ พวกเขาถามหาความสมบูรณ์ของพันธุกรรมเพื่อหาผู้เป็นต้นแบบของความแข็งแกร่งพอจะต่อสู้เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดบนโลกนี้ต่อไป โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามพวกเราคนที่ดูอยู่เลยว่า 



สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดของ ‘Allegiant อัลลีเจนท์ ปฎิวัติสองโลก’ ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากภาคก่อนหน้า ก็คงจะเป็นงานออกแบบฉากเมืองชิคาโกที่มีแต่ตึกที่รกร้างพังทลาย นอกกำแพงที่เต็มไปด้วยสีแดง งานออกแบบยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ดูหวือหวาน่าตื่นตา ขณะที่ซีจีต่างๆ ก็ใส่เข้ามามากขึ้น ทำให้หน้าตาหนังดูดีขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มากทีเดียวสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดของ ‘Allegiant อัลลีเจนท์ ปฎิวัติสองโลก’ ที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากภาคก่อนหน้า ก็คงจะเป็นงานออกแบบฉากเมืองชิคาโกที่มีแต่ตึกที่รกร้างพังทลาย นอกกำแพงที่เต็มไปด้วยสีแดง งานออกแบบยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ดูหวือหวาน่าตื่นตา ขณะที่ซีจีต่างๆ ก็ใส่เข้ามามากขึ้น ทำให้หน้าตาหนังดูดีขึ้นกว่าภาคก่อนๆ มากทีเดียว

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ Blusterfilms

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ความคิดเห็น